เสียงออดเตือนก่อนเวลาเคอร์ฟิวสามสิบนาที เสียงเตือนถูกส่งไปตามโฮโลคอมทั่วอานานิคม พิพัฒน์ เด็กหนุ่มทำงานพาร์ทไทม์ในร้านชำประจำบ้านต้องเตรียมตัวกลับบ้านแล้วหลังจากเช็คสต๊อคสินค้ากับพี่พนักงานประจำ เป็นเวลาสัปดาห์กว่าแล้วที่ "ทหาร" เข้ามาดูแลบ้านเมือง เขาไม่เข้าใจเรื่องการเมืองหรอก ตอนแรกที่เกิดการปะทะกัน เขานอนไม่หลับ เขาซ่อนอยู่ใต้โต๊ะ เขากลัว มีกระสุนพุ่งใส่ตู้เสื้อผ้าเฉียดจากเขาไปไม่ถึงเมตรด้วยซ้ำ! บรรยากาศวันนั้นเขาจำได้ และผ่านไปหนึ่งสัปดาห์ เขายังคงจำทุกวินาทีได้
พิพัตน์นั่งรถโดยสาร รถไฟฟ้าที่ลอยขึ้นจากพื้นดาวได้ขับตามถนนไป จนถึงซอยแถวตึกที่ห้องพักของเขา ตึกยังคงรอยกระสุนที่สังเกตได้ชัด 21:00 น. พิพัฒน์นั่งทำการบ้านที่จะต้องส่งพรุ่งนี้ซึ่งเป็นวันแรกของสัปดาห์ เขาคิดว่า ในเมื่อมีเครื่องที่ป้อนความรู้ข้อมูลโดยอัตโนมัติแล้ว ทำไมยังคงต้องมานั่งเรียนในสถานเรียนรู้ที่อึดอัดอีก พิพัฒน์เป็นคนที่ถูกพาตัวมาแต่วัยรุ่น ในอานานิคม ประชากรหลายคนมีทั้งเด็กและวัยรุ่น ชาวอานานิคมที่อายุน้อยที่สุดคือแปดปี เนื่องด้วยเหตุผลบางอย่าง เด็กที่อายุต่ำกว่านั้นไม่ผ่านเกณฑ์ ไซมอนเห็นว่าในกรณีของพวกเขา การให้เข้าระบบการศึกษาจำเป็นกว่าการฝังข้อมูลแบบผู้ใหญ่ เนื่องด้วยความต้องการที่จะให้การใช้ชีวิตของอานานิคม จำลองกับดาวแม่ได้ให้ใกล้เคียงที่สุด ถึงจะน่าเบื่อ แต่ย่อมจำเป็นต่อพัฒนาการของมนุษย์ แบบที่บรรดา "ครู" พ่นออกมาตลอดคาบ
วันต่อมา พิพัฒน์เข้าศูนย์เรียนรู้ มีการเปลี่ยนระเบียบใหม่ให้ทุกคนยืนเคารพสิ่งที่เรียกว่า "เพลงชาติ" ก่อนเข้าเรียนคาบแรก เขาไม่ทราบว่าเพลงนี้คืออะไร แต่ฟังแล้วมันก็ชวนให้เขารักอานานิคม รัก"ชาติ" ของเขา หลังเพลงจบ ออดเข้าเรียนก็ดังขึ้น วิชาแรกของวันคือวิชาคำนวน พิพัฒน์เกลียดวิชาคำนวน เขามองไม่เห็นว่าไอ้ "ลอการิทึม" "แคลคูลลัส" หรืออะไรอีกมากจะช่วยให้เขานับสตอคในร้านชำที่ทำพาร์ทไทม์ หรือช่วยให้การเข้าไปทำงานเป็นอาจารย์ด้านประวัติศาสตร์ตามที่เขาฝันได้อย่างไร
ถึงจะเป็นอานานิคมใหม่ ประวัติศาสตร์ของดาวแม่เป็นสิ่งที่จำเป็นต้องเรียนรู้ พิพัฒน์ชอบอาจารย์ผู้สอนมาก เขาขอบเล่าเรื่องกึ่งวิชาการกึ่งโม้ ไม่ว่าจะสงครามโลก สงครามศาสนา หรือการใช้ชีวิตในยุคที่คนไม่ต้องทำงานตามที่ระบบสั่งมาให้ทำเช่นทุกวันนี้ เขาชอบแวะไปห้องสมุดเพื่อหาหนังสือประวัติศาสตร์อ่านเล่น เขาชอบนำเสนอเวลาวิชานี้เวลามีรายงานหน้าห้อง แต่เพราะเขาถูกกำหนดให้เรียนวิชาสายวิทยาศาสตร์ เหมือนกับที่ผู้ใหญ่ถูกกำหนดอาชีพไว้แล้ว ความหวังของเขาในการอยู่ในสถานเรียนรู้บ้าๆที่กำลังใกล้จะจบสิ้นอีกหนึ่งเดือนนี่มีอยู่สองข้อ
พวกคุณรู้ข้อแรกกันไปแล้ว อีกข้อก็คือ เจมส์ นักศึกษาสายสังคมศาสตร์ที่มีฝันอยากขึ้นบนอวกาศสักครั้ง สองคนนี้รู้จักกันเพราะเจมส์เก็บหนังสือที่พิพัฒน์ลืมไว้ที่โรงอาหาร เจมส์เลยประกาศตามหาเจ้าของในโฮโลเชียลกลุ่มในโรงเรียน พิพัฒน์เลยได้ไปหาเจมส์และแบ่งปันความอึดอัดทรมานเกี่ยวกับการเรียนที่ไม่ตรงใจ ไม่นานทั้งคู่ก็สนิทกัน เวลาใครสักคนมีปัญหากับวิชาที่ไม่ถนัด พวกเขาจะรีบวิ่งแจ้นไปหาอีกคนทันทีเพื่อให้ติวเรื่องที่ไม่มีวันเข้าใจ พิพัฒน์รู้สึกแปลกที่ครูฟิสิกส์สอนเขาไม่รู้เรื่อง แต่ถ้าหากเป็นเจมส์ เขาเข้าใจในสมการและวิธีคิดทุกขั้นตอน และยิ่งพบหน้าเจมส์มากไปเท่าไหร่ เขารู้สึกที่จะอยากคุยกับเจมส์นานๆ แต่เพราะความที่เรียนคนละสาย ทำให้โอกาสเจอน้อยครั้งมาก แต่ทุกครั้งที่เจอ เขาจะรู้สึกดีแปลกๆ ต่างจากคนอื่นๆ ที่เขาต้องคอยเจออยู่ตลอด
"นายเคยฝันว่าอยากออกไปจากอานานิคมนี่มั้ย" พิพัฒน์ถามเจมส์ในขณะที่ทั้งคู่อยู่ในบ้านของเจมส์ในคืนวันเสาร์
"เค้าว่าข้างนอกนั่นมีสัตว์ป่าเยอะแยะ นายจะออกไปทำไม" เจมส์สงสัย
"เราอยากกลับไปดาวแม่ว่ะ ที่ๆเรามา เราจำไม่ได้ว่าเราเป็นใคร หรือเคยเป็นอะไร" พิพัฒน์เพ้อถึงดาวที่ไม่เคยมีในความทรงจำ
"มันคงดีนะที่ได้ออกไปผจญภัย ไปตามหาตัวตนตัวเอง" เจมส์เชื่อใจเพื่อนสนิท
"อือ" พิพัฒน์ตอบห้วนๆ
"แต่ว่านายก็รู้อะ ว่าเราไม่มีวันออกจากนี่ไปได้ ไม่มีใครออกมาหลังจากเราลงบนดาวดวงนี้แล้ว" เจมส์ดึงพิพัฒน์จากโลกความฝัน มาสู่ความจริงที่หดหู่
"แต่อย่างน้อยการกล้าที่จะฝันสิ่งที่เราเอื้อมไม่ถึง มันก็ดีกว่าไม่คิดจะทำอะไรเลย" พิพัฒน์ยังคงคิดที่ฝัน
"ใช่ ก็จริงนะ" เจมส์ตอบ
"ถ้าเราเรียนจบแล้ว เราจะหาทางออกจากดาวนี่กัน" พิพัฒน์เริ่มจริงจังกับอนาคต
"นายต้องมีเงินก่อน" เจมส์ย้ำ
"งั้นเราจะทำงาน เก็บเงินกัน" พิพัฒน์ยังคงมุ่งมั่น
"เราว่าจะไปเป็นทหาร เห็นว่าเงินดี มีสวัสดิการให้ด้วย จะได้มีเงินไง" เจมส์วางแผนอนาคตของเขา
"ก็ดีเนอะ เหมือนว่าเดี๋ยวนี้ทหารรับทุกคนเข้าแล้วนี่ ไม่ต้องถูกเลือกเหมือนอาชีพอื่นๆ" พิพัฒน์บอกข้อดีของอาชีพในฝันของเพื่อนชายของเขา
"ใช่ แต่รุ่นเราต้องเข้าโรงเรียนทหารต่อหลังเรียนจบแล้วล่ะ" เจมส์กล่าว
"เราคงคิดถึงนายแย่ว่ะ ฮ่าๆๆ"พิพัฒน์ขำกลบเกลื่อนความรู้สึกภายใน
เจมส์นิ่งไปครู่หนึ่ง สีหน้าของเขาอมยิ้มเล็กน้อยต่อคำพูดที่ได้ยิน เสียงหัวใจเริ่มดังในหัวถี่ๆ
"นายวะ วะ ว่าไงนะ" เจมส์เริ่มพูดตะกุกตะกัก
"ก็ต้องจากเพื่อนสนิทที่อยู่เห็นกันตลอด มันต้องคิดถึงกันแย่อะ ปกติทุกวันเสาร์เราค้างบ้านด้วยกัน เล่นเกมคืนนั้นด้วยมาตลอด มาหายไปวันนึงมันคงรู้สึกแย่อะ"
"กะ ก็จริง " เจมส์รู้สึกเขินอาย เขาไม่เคยรู้สึกอะไรแบบนี้มาก่อน
"แต่มีอย่างนึงที่รู้นะ ความทรงจำจะช่วยให้เราไม่ลืมกันลงได้ถึงจะห่างแค่ไหน" พิพัฒน์หยอดความรู้สึกใส่
"แล้วนายวะ วะ ว่า ความทรงจำเราทั้งคู่มันเป็นมากแค่ไหนล่ะ" เจมส์ถามด้วยหัวใจที่เต้นแรง
ทั้งคู่เงียบ นอนจ้องตากันเหมือนราวกับโดนอะไรสักอย่างสั่งสะกดไว้ให้จ้องตากันและกัน พิพัฒนเริ่มขยับหน้าเข้าหาเจมส์ แล้วประกบริมฝีปากกันและกัน เจมส์ลูบไล้หัวพิพัฒน์สู้ ร่างกายและหัวใจสั่นสะท้าน ทั้งคู่จูบราวกับว่าภายในห้องนี้คือโลกทั้งใบที่ไม่มีอาณานิคม ไม่มีศูนย์เรียนรู้ ไม่มีพรุ่งนี้ ในนี้มีแต่เจมส์ และ พิพัฒน์ ทั้งคู่ถอยห่างสักพักหลังจากสัมผัสรสชาติของกันและกันครั้งแรก
"ไม่ใช่มากแค่ไหน มันคือเราจะจำกันอย่างไรต่างหากล่ะ" พิพัฒน์ตอบ พร้อมส่งยิ้มให้เจมส์ ซึ่งตอบกลับมาด้วยรอยยิ้ม และความทรงจำใหม่อันลึกซึ้งในคืนนั้น
Comments (0)
See all