ท่อระบายอากาศถึงแม้ว่าจะสามารถให้ทั้งแซมและทีเรียนคลานตามกันในท่อไปได้ แต่บรรยากาศและความแคบทำให้ทั้งสองรู้สึกอึดอัด ประกอบกับการที่เพิ่งแหกคุกมาหมาดๆ ความกดดันทำให้ทั้งสองต้องเร่งแข่งกับเวลาที่จะออกจากสถานที่แห่งนี้ไปให้ได้
"เฮ้ นายพอที่จะ ว่างคุยหน่อยมั้ย" ทีเรียนถามแซมเบาๆในขณะที่เขากำลังคลานตามแซมอยู่
"นายนี่จะมาคุยอะไรกันตอนนี้" แซมพยายามตัดบท
"คือแบบว่า ในนี้มันน่าอึดอัด ชั้นว่าบทสนทนาจะช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้นบ้าง" ทีเรียนอ้างเหตุมาอธิบาย
"อ้อใช่ หลังจากเราโดนลักพาตัวโดยชาวเผ่าแล้วก็แหกคุกพวกนั้นมาได้ จากนั้นเราก็มามุดท่อนี่โดยที่พวกนั้นจี้ตูดเราอยู่ เยี่ยม มาสนทนาแล้วจิบชากันเถอะคุณชายทีเรียน" แซมแขวะทีเรียน
"ฮาฮาฮา น่าขำตายล่ะ นายลืมเล่าช่วงที่นายกลัวขาสั่นตอนเดินริมผานั่นได้ยังไงกัน" ทีเรียนจี้ใจดำแซมตรงจุด
"โอเค๊ นายชนะ พอใจมั้ย งั้นก็คลานต่อไป" แซมรีบตัดจบบทสนทนา
"นี่เราคลานมาไกลขนาดไหนกันเนี่ย ป่านนี้ถึงอาณานิคมแล้วล่ะมั้ง พระเจ้า กลิ่นเท้านาย แซม นายน่าจะล้างบ้าง" ทีเรียนบ่นราวกับว่าเป็นชายชราอายุเจ็ดสิบ "ให้ตายเถอะ ชั้นน่าจะให้นายอยู่กับพวกนั้น ปล่อยให้ทรมานนายเล่นเสียยังดีกว่า" อซมเริ่มหงุดหงิดพฤติกรรมการบ่นแล้ว
"นายลองมาเป็นชั้นดูมั้ยล่ะ หลายวันมานี่เป็นเวลาที่โครตดีในชีวิตเลย......."
ในขณะที่ทีเรียนกำลังบ่นตัดพ้อแดกดันอยู่ เสียงท่อร้องดังก๊องๆต่อเนื่องกัน แซมหยุดคลานสายตาเหลือซ้ายขวามองไปยังพนังท่อโดยไม่รู้ว่าจะหาอะไรบนนั้น
"เฮ้ นายหยุดทำไม คลานต่อไปซี" ทีเรียนเร่งเร้าพร้อมคลานต่อไปใกล้แซม แซมตกใจพยายามตะโกนห้าม
"เดี๋ยว......"
เสียงท่อร้องดังกว่าเดิมจนในที่สุด ก็รับน้ำหนักไม่ไหวหักลงมาดังโผล๊ะสนั่นหวันไหว แซมและทีเรียนหล่นลงมาจากท่อระบายอากาศมายังห้องโถงใหญ่ ที่่มีชาวเผ่ายืนอยู่มากมาย ทุกคนต่างอยู่ในภาวะตระหนก แซมและทีเรียนคลานออกมาจากท่อที่ร่วงลงมา เห็นชาวเผ่าพร้อมอาวุธรายล้อมจ่อไปยังทั้งสอง ทั้งคู่รีบยกมือขึ้นทันที
"สวัสดีชาวโลก" ทีเรียนมิวายที่จะติดตลก
"Enoma! wahatalei!" เสียงตะโกนมาจากฟากหนึ่งของห้อง ชาวเผ่าติดอาวุธลดปืนลง แล้วถอยออกจากชาวมนุษย์ทั้งสอง เผยเห็นถึงชาวเผ่าคนหนึ่งนั่งบนบัลลังก์อย่างสง่างาม ใหล้ๆกันมีชายสวมฮู้ดกำลังกระซิบกระซาบอะไรบางอย่างกับชาวเผ่าที่นั่งบัลลังก์นั้น
"เจ้านั่นมันมนุษย์ใช่มั้ยน่ะ" ทีเรียนกระซิบถามแถมเบาๆ แซมทำเสียงชู่วใส่ พร้อมมองค้อนทีเรียน
"สวัสดีสหายเราจากเจ้ารากอย" ชายสวมฮู้ดกล่าวดังๆกับสองตัวป่วน
"เอ่อ สวัสดี นายเป็นคนใช่หรือไม่" แซมตะโกนถามไปยังชายสวมฮู้ด
"ใช่ และเราเป็นปากของเจ้ารากอยของชาวอวีเซียนให้แก่มวลมนุษย์ทั้งปวง เรารู้ว่าคุณคือใคร ต้องขออภัยที่เรือนรับรองแรกของเราทำให้ท่านอึดอัดใจ เราจะจัดเรือนรับรองใหม่ที่สะดวกสบายให้ คุณแกรนซ์" ชายสวมฮู้ดกล่าวแก่แซม
"เอ่อ ขอบคุณมาก คุณ....เอ่ออะไรก็ตาม" แซมตะโกนตอบ"
"เราจะพาคุณทั้งสองไปยังห้องรับรอง พร้อมเสื้อผ้าใหม่ให้แก่พวกคุณ" ทันใดนั้นมีชาวอวีเซียนพาทั้งคู่ออกจากท้องพระโรง เจ้ารากอยไปยังห้องรับรอง ภายในมีเตียงนอนคู่และชุดโต๊ะอาหาร พร้อมอุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบครัน ราวกับว่าเป็นห้องในโรงแรม ชั้นเยี่ยมในอาณานิคมเลยทีเดียว
"ว้าว ดูนี่ซิ อ่างอาบน้ำ พระเจ้า ชั้นไม่ได้ลงอ่างมานานแค่ไหนแล้วเนี่ย" ทีเรียนกำลังสัมผัสบรรยากาศในห้องน้ำ หลังจากที่อยู่ในป่ามาช้านาน "ฮ่าๆ นึกว่าชาตินี้จะกลายเป็นคนป่าไปเสียแล้วอีก" ทีเรียนยังคงดื่มด่ำในบรรยากาศที่ขาดหายไปนาน
หลังจากทำธุระส่วนตัวเรียบร้อยแล้ว เวลาก็ใกล้พลบค่ำ แซมนั่งอยู่ริมหน้าต่าง มองดาวฤกษ์ตกดิน ทีเรียนที่กำลังง่วนกับอุปกรณ์คล้ายวิทยุพยายามเปิดสถานีมนุษย์ฟังพบว่ามีแต่สถานีภาษาอวีเซียน ทันใดนั้นมีเสียงเคาะจากประตู "เข้ามาได้" แซมเชิญผู้เคาะประตูเข้ามา ชายสวมฮู้ดในท้องพระโรงเจ้ารากอยเปิดประตูพร้อมบริวารชาวอวีเซียนที่เข็นโต๊ะอาหารมาให้ทั้งสาม
"ผมในฐานะเสียงของเจ้ารากอยขออภัยคุณแกรนซ์กับมาตรการรับรองของเราในตอนแรก เชิญนั่ง" แซมและทีเรียนนั่งบนโต๊ะอาหาร ในขณะที่บริวารอวีเซียนวางจานชามช้อนส้อมพร้อมอาหาร "มาตรการรับรับของนายอะไรนั่นทำให้เราเกือบตายนะ" ทีเรียนกำลังเคืองจากการโดนทรมานในคุกอยู่ "ต้องขออภัย เราจำเป็นที่จะต้องประเมินว่าคุณไม่ใช่ภัยอันตรายต่อคุณแกรนซ์ วิธีการเลยจำเป็นที่จะทำให้คุณ....ไม่พึ่งพอใจ" "แล้วนายเป็นใครถึงคิดว่าชั้นเป็นอันตรายต่อแซมล่ะห๊า?" ทีเรียนขึ้นเสียงใสชายสวมฮู้ด ทำให้เขาต้องเลิกฮูดคลุมหัวออก เผยหน้าของเขาออกมา ผมที่ตัดอันเดอร์คัดและหวีอย่างเป็นระเบียบ ราวกับว่าหลุดจากภาพทหารในยุคสงครามโลกครั้งที่สอง (Fun fact : ทหารเยอรมันยุคนั้นตัดผมทรงนี้จริง สามารถค้นดูได้ตามร้านขายยาทั่วไป - นักเขียน -)
"ไมก้า นายเหรอ? นายยังไม่ตาย?" แซมตะลึงหลังจากที่จดจำใบหน้าของชายปริศนาได้
"ใช่แล้วไซ ผมยังไม่ตาย" ไมก้าตอบแซม
"เดี๋ยวนะ ใครคือไมก้า แล้วนายรู้จักไอ้บ้านี่ได้ยังไง" ทีเรียนงงกับเหตุการณ์ตรงหน้า
"ไมก้าเป็นคนสนิทชั้นเมื่อตอนชั้นดูแลอาณานิคม และไมก้า นี่ทีเรียน ชั้นช่วยเขาไว้แล้วเดินทางมาด้วยกัน" แซมแนะนนำตัวทั้งคู่
"ยินดีที่ได้พบ คุณทีเรียน" ไมก้ายืนมื่อให้จับพร้อมส่งยิ้มให้ ทีเรียนจับมือตอบพร้อมยิ้มเจื่อนๆ ด้้วยความงุนงงกับเรื่องทั้งหมด
"นายมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรกัน" แซมถามไมก้า
"เรื่องค่อนข้างยาว ผมจะเล่าให้ถ้าคุณอยากฟัง หรือถ้าคุณจะเล่าเรื่องก่อนผมก็ไม่ว่า" ไมก้าตอบ
"อ้า โอเค....งั้นชั้นเล่าให้นายก่อนก็ได้" แซมเล่าเรื่องตั้งแต่ต้น การพบปะกับฌอง การช่วยทีเรียน จนมาถึงในท้องพระโรงเจ้ารากอย "คุณมีเรื่องผจญภัยเยอะพอตัวนะ" ไมก้าชมเรื่องเล่าพร้อมกับยิ้มให้ ในขณะที่ทีเรียนกำลังหั่นเนื้อแล้วจิ้มเข้าปาก "สิบกว่าปีนี้ นายอยู่ที่นี่มาตลอดเลยหรือ" แซมถาม "ใช่ ผมอยู่ที่นี่มาตลอด เจ้ารากอยให้การดูแลผมดีมาก ชาวอวีเซียนก็เป็นมิตร ถ้าคุณได้สัมผัสชีวิตพวกเขาจริงๆนะ" ไมก้าตอบพร้อมยกแก้วไวน์ผลไม้ท้องถิ่นสีเขียวๆดื่ม ทั้งสองสนทนาบนโต๊อาหารด้วยเรื่องเล็กน้อยจิปาถะ ส่วนทีเรียนไม่ได้พูดอะไรมากนอกจากมุ่งมั่นกับอาหารในโต๊ะ เวลาผ่านไปจนกระทั่งเสร็จสิ้นมื้ออาหาร
"อ้าาาาาส์ ขอบคุณมาสำหรับอาหาร ชั้นรู้สึกอิ่มแปล้เต็มทีแล้ว" ทีเรียนยืดเส้นยืดสายบนเก้าอี้ "ผมดีใจที่พวกคุณชอบอาหารที่นี่" ไมก้าตอบรับคำชม "เอ็ม หลังจากนี้นายว่างที่จะเดินเล่นมั้ย เหมือนวันเก่าๆไง" แซมชวนไมก้าเดินเล่นหลังอาหาร "ผมว่างแน่นอน ผมดีใจที่คุณชวน" ไมก้าตอบรับคำชวนด้วยรอยยิ้ม "ถ้าอย่างนั้นเราก็อย่าช้าเลย เฮ้ ที ชั้นจะออกไปเดินเล่นแปปนึง" แซมพูด "เชิญ ฉันว่าหลังจาากนี่แล้วจะฟังเพลงแล้วเข้านอน ส่วนนายกับแฟนนายคงมีเรื่องคุยหลายอย่าง" ทีเรียนแซวตามนิสัยปกติ แต่ทำให้แซมสะดุ้งเล็กน้อย ส่วนไมก้ายังคงยิ้มมุมปากอยู่ในตรงนั้น
แซมและไมก้าเดินออกจากห้องรับรอง มายังภายนอกตัววังเจ้ารากอยที่มีสวนไม้อยู่ ไฟจากเสาโคมไฟสีส้มแดงส่องแสงอ่อนๆ ตัดกับความมืด สวนของเจ้ารากอยในตอนกลางคืนมีความงดงามและน่าพิศวงยิ่ง แสงจากดวงจันทร์บริวารส่องแสงสีนวลลงมา ทั้งสองเดินมายังซุ้มศาลากลางน้ำ แล้วนั่งบนเก้าอี้ที่นั่งในศาลา
"สิบห้าปีมานี้ผมนึกว่าคุณตายไปแล้ว" ไมก้าเปิดการสนทนา "ชั้นก็คิดอย่างนั้น ถึงตอนนี้ก็ยังไม่รู้ว่าจริงชั้นเป็นหรือตาย" แซมตอบ "ทำไมคุณคิดอย่างนั้นล่ะ" "ก็หมอฌองเคยเล่ามาว่า นักรบปลดแอกต้องการชั้น หรืออย่างน้อยก็....ข่าวลือเรื่องที่ฉันเป็น" แซมเล่าเรื่องข่าวลือ "อ้อ ผมได้ยินข่าวลือเหมือนกันว่ามีมนุษย์ดัดแปลง และเรื่องที่คุณยังไม่ตาย แต่ผมไม่คิดว่าจะจริงทั้งคู่" "นายพอจะรู้มั้ยว่าทำไมทั้งกบฎและเปรโดอยากได้มนุษย์ดัดแปลงกันนักหนา" แซมสงสัยและสับสน "คุณทราบดีว่าเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์เรายังไม่คืบหน้ามาก ทำให้ต้องหันไปทุ่มเทการพัฒนามนุษย์เองให้เหนือกว่าขีดจำกัดธรรมชาติที่เราเป็นอยู่ นี่คือเหตุที่เปรโดยังไม่มีกองทัพหุ่นยนต์ที่ใช้ได้จริง และการที่ชาวอวีเซียนปะทะกับมนุษย์ตลอดหลายปีนี้ทำให้สูญเสียกำลังทั้งสองฝ่ายไปมาก การมีมนุษย์ที่พัฒนาในขีดการรบจะทำให้พลิกสงครามนี้ไปได้ พวกกบฏคงรู้ข้อเท็จจริงข้อนี้เช่นกัน" "ถ้าเช่นนั้น หมายความว่าชั้นเป็นแค่ไพ่ตาย หรือแค่หมายสำตัญบนกระดานรบงั้นหรือ" แซมเริ่มมีสีหน้าตระหนก ความขัดแย้งทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่เขาพยายามเลี่ยงมาตลอด แต่ด้วยความชะล่าใจ เขาถูกดึงลงไปให้ห้วงความขัดแย้ง เป็นเพียงเชือกที่ถูกชักเย่อทั้งสองด้าน "ให้ตายเถอะ ทำไมฌองไม่ปล่อยให้ชั้นตายที่นั่น ทำไมพระเจ้าอยากให้ชั้นอยู่ต่อไป ชั้นเบบื่อที่จะต้องอยู่ในร่างแบบนี้อีกแล้ว ชั้นไม่อยากที่จะเร่ร่อนไปเรื่อยๆ นายช่วยให้ชั้นจบเรื่องทั้งหมดนี่ซะทีเถอะ" แซมพุ่งเข้าหาไมก้า หักข้อมือขวาตัวเอง เอาปืนเพนเนอจีจ่อใต้คางนำมือไมก้ากำมือขวาตนเพื่อที่จะให้ช่วยลั่นไก
ไมก้าพยายามแกะมือออก เข้ากอดแซมไว้อย่างเหนียวแน่น แซมทรุดตัวลงไปหาพร้อมน้ำตา แสงสีเหลืองที่ลำคอที่หุ้มหนังสังเคราะห์ส่องแสงในความมืด ทั้งคู่ร้องให้ไปตามกระแสอารมณ์ที่พัดกระหน่ำฉับพลัน ในขณะที่อยู่ในอ้อมกอดกันและกัน "ถึงใครจะมองคุณเป็นสิ่งของ ผมยังมองคุณเป็นไซเหมือนเดิม ไม่ว่าตอนนี้ หรือตลอดไป" ไมก้าปาดน้ำตาแซม สายตาจ้องมองกันและกันราวกับว่าเวลาหยุดหมุนเมื่อทั้งคู่อยู่ตรงหน้า
"ผมจะพาคุณกลับห้องของคุณ" ไมก้าเริ่มิเอ่ยปากพูด หลังจากที่นิ่งเงียบในภวังค์อยู่หลายนาที
"โอ้ โอเค ได้" แซมตอบสั้นๆ แต่ยังคงสะอื้นเล็กน้อย ทั้งคู่กอดคอกันเดินเข้าตัววัง ต่างนิ่งเงียบทั้งคู่ ผิดจากตอนที่เดินมาครั้งแรกที่ยังมีเสียงสนทนาพอครื้นเครง บรรยากาศในขณะนี้เป็นที่อธิบายยากสำหรับทั้งแซมและไมก้า เมื่อถึงประตูห้องรับรอง แซมเปิดประตูห้องของเขา "ฝันดี เอ็ม" ไมก้านิ่งเงียบ ก่อนที่จะเอ่ยปาก "เดี๋ยวก่อน"
จากนั้นไมก้าคว้าตัวแซมมาไว้ในอ้อมแขน แล้วประทับรอยจูปลงบนริมฝีปากเทียมของแซม ทั้งสองดื่มด่ำกับความรู้สึกและความห่วงใยตลอดสิบห้าปีภายในไม่กี่นาที เมื่อเสียงฝีเท้าทหารยามอวีเซียนใกล้เข้ามา ไมก้าถอยออกจากแซม ส่งยิ้มเสน่ห์ให้ "ฝันดี ไซ" จากนั้นไมก้าก็เดินไปตามทางเดิน ส่วนแซมก็ปิดประตูห้องลง พบทีเรียนที่นอนไม่รู้เรื่องรู้ราวหน้าห้องนี้ พร้อมกับเสียงวิทยุที่เปิดทิ้งไว้ แซมเดินไปยังหน้าต่างห้อง พร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้า ส่งไปยังท้องฟ้าและดวงดาวในยามราตรี
Comments (0)
See all